15 ส.ค.64 – น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ท่านชัยเกษม นิติสิริ ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เผยแพร่ในเพจ “พรรคเพื่อไทย” เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ระบุถึงสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันที่รัฐบาลล้มเหลวในการจัดการกับวิกฤตโรคระบาด ส่งผลให้ประชาชนออกมาชุมนุมเรียกร้องแสดงความไม่พอใจเป็นจำนวนมาก ว่า ท่านชัยเกษม มองสถานการณ์ด้วยอคติ ไม่ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ละเลยฟังเสียงของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่เดือดร้อนจากการที่ผู้ชุมนุมมีอาวุธ ใช้ความรุนแรง เผาและทำลายทรัพย์สินทั้งของราชการและเอกชน
น.ส. ทิพานัน กล่าวต่อว่า ในการจัดการสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่นั้น รัฐบาลโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ตามหลักความได้สัดส่วน (Principle of proportionality) โดยฟังเสียงสะท้อนจากทุกภาคส่วนทั้งข้อมูลวิชาการทางการแพทย์และสาธารณสุขของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการออกมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดและประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการต่างๆ โดยมุ่งให้ควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีที่สุดและประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด มุ่งบริหารด้วยมนุษยธรรมและนิติธรรม ในการบริหารประเทศ ขอเน้นย้ำว่าการควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ให้สำเร็จนั้นต้องประกอบด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการเคร่งครัดมาตรการสาธารณสุข มาตรการทางสังคม และมาตรการทางกฎหมาย
น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่จัดการกับผู้ชุมนุมอาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ มาตรา 200 ได้นั้น อยากให้ท่านชัยเกษมและพรรคเพื่อไทยเข้าใจถึงข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เมื่อผู้ชุมนุมมีการใช้ “สิทธิเกินส่วน” กระทบ “เสรีภาพ” ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ก็ต้องควบคุมสถานการณ์ผู้ชุมนุมก่อนที่สถานการณ์ความรุนแรงบานปลายและยืดเยื้อ หากนึกภาพไม่ออก อยากให้ท่านชัยเกษมและพรรคเพื่อไทยนึกย้อน ฟังเสียงประชาชนที่เดือดร้อนจากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองปี 2553 ท่านเคยได้ยินบ้างหรือไม่
น.ส. ทิพานัน กล่าวต่อว่า และที่ท่านเสนอให้รัฐบาลและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรมนั้น ท่านชัยเกษมอาจจะถูกอคติใดบังตาทำให้ไม่เห็นว่า ที่ผ่านมา ผู้ถูกกล่าวหา “ทุกคนได้รับสิทธิทางกฎหมาย” เพื่อสู้คดีอย่างเต็มที่ และทุกคนได้ใช้สิทธิมีทนายความที่ปรึกษา ใช้สิทธิการปฏิเสธข้อกล่าวหา ใช้สิทธิได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ส่วนเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องดำเนินการและยึดมั่นในหลักนิติธรรมและเมตตาธรรมต่อพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ให้ความเป็นธรรมกับทั้งผู้ถูกดำเนินคดีและให้ความเป็นธรรมกับประชาชนที่ถูกกระทบสิทธิด้วย
น.ส.ทิพานั้น ระบุว่า เท่าที่เห็นจากกระบวนการยุติธรรมมีการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหากระทำความผิดทุกครั้ง และในหลายๆ ครั้งที่เมื่อ “ถูกปล่อยตัวชั่วคราว” มาแล้วก็ยัง”กระทำผิดซ้ำแบบเดิม” จึงเห็นได้ว่าทุกคนได้รับสิทธิสู้คดีตามกฎหมาย ไม่มีใครไม่มีสิทธิ แต่หลายครั้งพอได้รับสิทธิแล้วกลับไม่เคารพกฎหมาย ฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว อีกทั้งยังมีแกนนำบางคนหนีคดีออกนอกประเทศ ซึ่งท่านชัยเกษมที่เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและอดีตอัยการสูงสุด ท่านคงไม่คิดสนับสนุนการไม่เคารพกฎหมาย หรือหนีคดีออกนอกประเทศใช่หรือไม่
น.ส.ทิพานัน ระบุด้วยว่า รัฐบาลใช้อำนาจในการบริหารประเทศซึ่งแยกเด็ดขาดกับอำนาจตุลาการของศาล รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ ไม่มีใครบังอาจใช้ถุงขนมห่อเงินกับกระบวนการยุติธรรมได้ หากนายชัยเกษมและพรรคเพื่อไทยต้องการหยุดซากปรักหักพัง ก็อยากขอความร่วมมือพรรคเพื่อไทยช่วยกันหยุดสนับสนุนความรุนแรงที่เกิดขึ้นในม็อบ ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ
เธอระบุว่า ส่วนตนเองเชื่อว่า เรื่องซากปรังหักพัง พรรคเพื่อไทย และท่านชัยเกษม “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ย่อมรู้ดีว่าสร้างปรักหักพัง การเผาบ้านเผาเมืองเป็นอย่างไร ขอให้รำลึกและนึกถึงเสียงประชาชนที่บริสุทธิ์ที่ถูกทำลายชีวิตและทรัพย์สินในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองปี 2553 บ้าง และท่านชัยเกษมในฐานะที่เคยทำหน้าที่ผดุงความยุติธรรมมาก่อน ขอให้ท่านพิจารณารอบด้าน ครอบคลุม ยึดหลักนิติธรรม ด้วยใจที่ “เป็นธรรม” อย่าปล่อยให้มีการชุมนุมที่กระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไป อย่าปล่อยให้การชุมนุมลุกลามเป็นการเผาบ้านเผาเมือง และอย่าปล่อยให้ผู้ต้องหาทำลายความศักดิ์สิทธ์ของกระบวนการยุติธรรมโดยการหลบหนีออกนอกประเทศอีกเลย.